“MINI” แปลความหมายตามศัพท์ภาษาอังกฤษจะหมายถึง เล็ก กะทัดรัด ซึ่งหากใครได้ยินคงไม่ได้นึกถึงแค่เพียงความหมายของมัน แต่จะนึกไปถึงรถยนต์อังกฤษสุดคลาสสิก โดดเด่นด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเหมาะสมกับชื่อเรียก ที่อยู่คู่ท้องถนนมาช้านานกว่า 46 ปี
รถยนต์มินิถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษในยุคปี ค.ศ.1950 เป็นยุคที่รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่โต เครื่องยนต์ซีซีสูงๆ แรงม้ามากๆ ซึ่งเกินความจำเป็น ส่งผลให้มีราคาค่าตัวที่สูงเกินกว่าที่คนธรรมดาจะหาครอบครองเป็นเจ้าของได้ ประจวบเหมาะกับการเกิดวิกฤตการน้ำมันในยุโรป เนื่องจากอียิปต์เข้ายึดคลองสุเอซ ซึ่งเป็นเส้นทางลัดระหว่างทวีปยุโรปกับเอเชียของเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งเพราะไม่ต้องเดินทางอ้อมทวีปแอฟริกา
|
รถมินิ รุ่นแรก กับผู้คิดค้น เซอร์ อเล็กซ์ อิสสิกอนิส |
ส่งผลให้การขนส่งน้ำมันจากเอเชียถึงทวีปยุโรปจึงมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นหลายเท่าตัว และแล้วความคิดที่จะสร้างรถยนต์ขนาดเล็กกะทัดรัด พร้อมเดินทางไปกับสมาชิกในครอบครัวทุกคนไปในทุกหนทุกแห่ง ด้วยราคาที่ไม่แพง ผู้เป็นเจ้าของคิดดังกล่าวคือ “เซอร์ อเล็กซ์ อิสสิกอนิส” (Sir Alec Issigonis) นักออกแบบรถยนต์ประจำบริษัท BMC (British Motor Corporation) ยักษ์ใหญ่ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศอังกฤษ
“อิสสิกอนิส” ได้นำความคิดถ่ายทอดสู่ทีมงานฝ่ายออกเพื่อระดมสมองในการออกแบบรถยนต์ในความคิด ภายใต้แนวทางการออกแบบที่กระโดดก้าวผ่านจินตนาการทางด้านวิศวกรรมรถยนต์ในยุคนั้น คือ รถยนต์คันนี้ต้องมีความยาวไม่เกิน 10 ฟุต และกว้างไม่เกิน 6 ฟุต แต่ในความเล็กนั้น ต้องยังคงความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารอีก 3 คน
|
ภาพสเก็ต"มินิ"ของ เซอร์ อเล็กซ์ อิสสิกอนิส |
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชิ้นส่วนต่างๆ จึงถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่หมดให้มีขนาดที่เล็กลงตั้งแต่เครื่องยนต์ แต่สิ่งที่ “อิสสิกอนิส” สร้างความแปลกประหลาดให้กรรมยนตรกรรมชิ้นนี้ ก็คือการวางชุดเกียร์ไว้ใต้เครื่องยนต์ โดยที่เป็นเครื่องยนต์วางขวางขับเคลื่อนล้อหน้า เมื่อรถมีขนาดเล็ก ล้อจึงต้องมีการย่อขนาดให้เล็กตามลงไปด้วย เพื่อลดน้ำหนัก จึงออกแบบให้ใช้ล้อมีขนาด 10 นิ้ว ระบบกันสะเทือนและช่วงล่างก็ต้องออกแบบกันใหม่หมด ตามพื้นที่ที่มีจำกัดซึ่งเป็นแบบเต้ายางขนาดเล็ก (Rubber Cone) โดยมอบหมายให้เพื่อนเก่า บริษัท ดันลอป (Dunlop) เป็นผู้พัฒนาและผลิตให้
ระยะเวลาผ่านไป 7 เดือน “มินิ” ต้นแบบที่สร้างด้วยมือก็ถูกสร้างเสร็จ ภายใต้ชื่อ “ADO 15” ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์มากนัก แต่ก็ถือได้ว่าเป็น "รถมหัศจรรย์" คันหนึ่งทีเดียว หลังจากการทดสอบเพิ่มเติมก็พบข้อบกพร่องมากมาย อาทิ ต้องแก้ไขตำแหน่งคาร์บูเรเตอร์ใหม่, ปรับปรุงอัตราทดของเกียร์ให้เหมาะสัมพันธ์กับกำลังของเครื่องยนต์
นอกจากนี้หลังจากการชั่งน้ำหนักปรากฏว่าน้ำหนักท้ายน้อยเกินไป จึงทำการย้ายแบตเตอรี่ไปอยู่ด้านท้าย หลังจากทำการแก้ไขปรับปรุงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “เลียวนาร์ด ลอร์ด” (Leonard Lord) ประธานบริษัท BMC ยังรู้สึกไม่มีความมั่นใจในรูปทรงของ “มินิ” จึงส่งรถให้กับสำนักแต่งรถชื่อดัง " พินินฟารินา " (Pininfarina) ช่วยตกแต่งรูปทรงของ “มินิ” ให้ดูดียิ่งขึ้นก่อนทำการผลิตเพื่อจำหน่าย แต่หลังจาก “พินินฟารินา” ได้ใช้เวลาอยู่กับ “มินิ” อย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ได้รับคำตอบเพียงว่า "รถคันนี้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ทุกสิ่งลงตัวดีอยู่แล้ว”
ในเดือนสิงหาคม 1959 ทั่วโลกก็ตกอยู่ในอาการตะลึง เมื่อทราบข่าว ยนตรกรรมฉบับ “มินิ” ออกสู่ตลาดซึ่งใช้ชื่อเรียกในช่วงแรกว่า "ออสติน เซเว่น" (Austin Seven) และ ใช้ชื่ออีกยี่ห้อหนึ่งว่า "มอริส มินิ ไมเนอร์" (Morris Mini Minor) และต่อมาไม่นาน “ออสติน เซเว่น” ก็เปลี่ยนชื่อเรียกใหม่เป็น "ออสติน มินิ" (Austin Mini) ที่เรารู้จักคุ้นหูกันดี
มาพร้อมเครื่องยนต์ติดตัวขนาด 850 ซีซี 4 สูบ 35 แรงม้า สามารถทำความเร็วได้สูงถึง 122 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทันทีที่เริ่มจำหน่ายก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากครอบครัวชาวอังกฤษด้วยเหตุผลที่สมควรนั่นก็คือราคาถูก โดยมีราคาเพียง 496 ปอนด์เท่านั้น
สำหรับเมืองไทยก็เริ่มเข้ามาจำหน่ายไม่กี่เดือนหลังจากเปิดตัวโดยการนำเข้าของบริษัท C K R Motor ตั้งอยู่บริเวณ “ยศเส” เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯ นี้ มีรถจาก อังกฤษ ที่เรารู้จัก คุ้นชื่อกันดี อยู่ในความดูแลหลายยี่ห้อ เช่น Land Rover, Jaguar, MG, Triumph, Standard, Austin และ Morris แต่ต่อมารถอังกฤษทั้งหมดดังกล่าว ได้ตกมาสู่ภายใต้การดูแลของ บริษัท Lay-Thai ที่ตั้งอยู่บริเวณ สี่แยกนานา ถนนสุขุมวิท (ปัจจุบันไม่มีแล้ว)
|
ภาพงานเปิดตัวของ ออสติน เซเว่น ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ออสติน มินิ |
การออกแบบรถยนต์คันนี้ “อิสสิกอนิส” ได้แอบสอดแทรกความเป็นตัวเองลงไป 2 สิ่งก็คือ การที่ “อิสสิกอนิส” เป็นคนที่สูบบุหรี่จัด และชอบขับรถเงียบๆ “มินิ” จึงมีที่เขี่ยบุหรี่แทนการมีวิทยุ
ในปี 1960 หลังจากออกสู่ตลาดเพียง 1 ปี มินิสามารถทำยอดขายได้อย่างถล่มทลายถึง 116,000 คันจนทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างฟอร์ด มอเตอร์ เริ่มจับตามอง
ด้าน“จอห์น คูเปอร์” (John Cooper) นักแข่งรถระดับโลก และยังเป็นเจ้าของ John Cooper Garage สำนักแต่งรถชื่อดังในขณะนั้น รู้จักและสนิทสนม กับ “อิสสิกอนิส” มาเป็นเวลานาน โดยได้เฝ้าติดตามโครงงาน “มินิ” มาตั้งแต่เริ่มต้นค้นพบว่า “มินิ” เป็นรถที่มีการขับขี่และการยึดเกาะถนนที่ดีมาก จึงนำไปปรับปรุงเครื่องยนต์และระบบให้ช่วงล่างให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและตั้งชื่อใหม่ว่า “มินิ คูเปอร์”
|
ปี 1965 รถ “มินิ” คันที่ 1,000,000 ถูกผลิตออกจากโรงงาน BMC |
โดยได้นำไปท้าดวลนอกรอบก่อนการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ที่มอนซ่า อิตาลี กับ “เรก พาร์เนลล์” ซึ่งใช้รถ แอสตัน มาร์ติน และสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นเมื่อ “มินิ” ที่มีเครื่องยนต์เพียง 1,071 ซีซี 70 แรงม้า สามารถเป็นผู้ชนะในการประลองครั้งนี้ โดยเข้าเส้นชัยก่อนหน้า แอสตันมาร์ติน DB4 กว่าหนึ่งชั่วโมงและนั่นถือเป็นการเปิดตำนาน “แจ็คผู้ฆ่ายักษ์” เป็นครั้งแรก
หลังจากนั้นนับจากปี 1961 เป็นต้นมา “มินิ คูเปอร์” ก็เข้าแข่งขันรายการ “มอนติ คาร์โล แรลลี่” ซึ่งเป็นรายการแรลลี่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และก็กลายเป็นเรื่องที่ฮือฮาเมื่อรถแข่ง “มินิ คูเปอร์” ที่ขับโดย “ฟรายอิ้ง ฟิ้นส์” นักขับชาวฟินแลนด์ พา “มินิ คูเปอร์” เหาะตีลังกาหงายท้อง ชวดอันดับ 1 ในช่วงโค้งสุดท้ายอย่างน่าเสียดาย ทำได้แค่เพียงแต่ปล่อยให้มินิมอดไหม้ไปในเปลวเพลิง
|
มินิ คูเปอร์ เอส รุ่นเปิดประทุน |
จนกระทั่ง “มินิ คูเปอร์” ประสบความสำเร็จสูงสุดในปี 1964 หรือเมื่อ 41 ปีที่ผ่านมา โดยสามารถครองความเป็นหนึ่งในสังเวียน “มอนติ คาร์โล แรลลี่” ได้อย่างสง่าผ่าเผย ด้วยการขับขี่ของ “แพ้ดดี้ ฮอปเคิร์ก” กับรถหมายเลข 37 เลขทะเบียน 33EJB และเพื่อยืนยันว่าไม่ใช่ความบังเอิญหรือฟลุ๊ค ทีมของคูเปอร์ ก็ได้นำ “มินิ คูเปอร์” เข้าเส้นชัยในรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ ติดต่อกันถึง 3 ปีซ้อน ทำให้ชื่อเสียงของ มินิ นั้นโด่งดังเกินตัว ถึงกับทำให้กลุ่มรถฝรั่งเศสที่พยายามออกกฎระเบียบกีดกันเพื่อไม่ให้ มินิ ลงแข่งในคราวต่อๆ ไป
ปี 1968 “มินิ” ดังเป็นพลุแตกอีกครั้งเมื่อค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง “พาราเมาท์” นำรถ “มินิ” มาเป็นตัวเอกในภาพยนตร์เรื่อง “อิตาเลี่ยนจ๊อบ” โดยที่เนื้อหาภายในเรื่องแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะที่เกินตัวและความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด ในเรื่องโจรในมาดผู้ดีใช้ มินิ 3 คัน 3 สี ปล้นทองและวิ่งขนทองหนีตำรวจ ทั้งลงบันได มุดท่อระบายน้ำ ขึ้นหลังคาตึก แถมยังวิ่งเหาะข้ามตึกหนีตำรวจได้ ทั้งๆ ที่ตำรวจก็ใช้สุดยอดรถสปอร์ตสัญชาติอิตาเลี่ยน "อัลฟ่า โรมิโอ" ก็ไม่อาจไล่กวด มินิ ทั้ง 3 คันได้ทัน หนังเรื่องนี้ ทำให้ทั่วโลกเกิดกระแสคลั่งไคล้ มินิ แรงมากแบบ “Mini Fever” ทำให้ผู้ชมหลายคนวาดฝันที่จะหา มินิ มาครอบครองให้ได้
|
มินิ คอนเซปต์ รุ่นล่าสุดที่ถูกเผยโฉมในงาน ดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ |
- ปี 1985 โรเวอร์ เข้าควบคุมการจำหน่ายของ “มินิ” โดยส่งขายในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการอย่างดีโดยมียอดขายที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
- ปี 1986 “โนเอล เอ็ดมันส์” วิศวกรประจำของโรเวอร์ ขับรถมินิคันที่ 5,000,000 ออกจากสายการผลิตที่โรงงานลองบริดจ์
- ปี 1988 “เซอร์ อเล็กซ์ อิสสิกอนิส” เสียชีวิตเมื่ออายุ 81 ปี
- ปี 1990 โรเวอร์ เปิดผ้าคลุมมินิคูเปอร์รุ่นใหม่ ในแบบจำนวนจำกัด พร้อมทั้งลายเซ็น “จอห์น คูเปอร์” และฝากระโปรงคาดขาว ซึ่งกลายเป็นรถขายดีในเวลาต่อมา สำนักแต่งรถ John Cooper Garage ของ “จอห์น คูเปอร์” ผลิตมินิสเปเชียลออกขายเองด้วยเช่นกัน
- ปี 1992 มีการติดตั้งเครื่องกรองมลภาวะท่อไอเสียหรือแคทตาไลติค คอนเวอร์เตอร์ ในรถมินิ ซึ่งเหลือเพียงเครื่องยนต์ขนาด 1275 ซีซีให้เลือกเพียงขนาดเดียว
- ปี 1993 เปิดตัวมินิ เปิดประทุน คาบริโอเลท ซึ่งพัฒนาโดยสำนักออกแบบ “คาร์มานน์” ในประเทศ
- เยอรมันวางตลาดในราคา 12,000 ปอนด์
- ปี 1995 มินิได้รับประชามติให้เป็นรถแห่งศตวรรษจากแบบสอบถามเนื่องในวาระครบรอบ 100 ปี ของนิตยสารออโตคาร์
- ปี 1999 โรเวอร์ออกแถลงข่าวว่า จะระงับการผลิตมินิประมาณปี 2000 แต่ตัวถังจะยังมีการผลิตอยู่ต่อไปเพื่อใช้เป็นอะไหล่
- ปี 2000 มินิโฉมใหม่หมดจดตั้งแต่หัวจรดเท้าออกสู่ตลาดภายใต้ใบบุญ BMW ที่ซื้อกิจการมาจาก โรเวอร์ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นในทุกมิติ โดยการออกแบบยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ “มินิ” มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร 115 แรงม้า
- ปี 2002 เปิดตัวรุ่นพิเศษ “มินิ คูเปอร์ เอส” มาพร้อมกับขุมพลังในระดับ 163 แรงม้าจากเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร พ่วงซูเปอร์ชาร์จ
- ปี 2004 ได้เสริมตลาดด้วยรุ่นเปิดประทุน
ตลอดระยะเวลากว่า 46 ปี ตั้งแต่รถคันนี้ถือกำเนิดมีเรื่องราวที่น่าจดจำเกิดขึ้นมากมาย และเชื่อได้ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกกี่สิบปี คำว่า “มินิ” ก็ยังคงเป็นคำที่มีความหมายมากกว่าแค่คำว่า “เล็ก” เท่านั้น